รวมสิ่งประดิษฐ์สร้างสรรค์ที่ทำให้รู้ว่า AI ไม่ได้มีอยู่แค่ในโรงงาน

รวมสิ่งประดิษฐ์สร้างสรรค์ที่ทำให้รู้ว่า AI ไม่ได้มีอยู่แค่ในโรงงาน ในปัจจุบัน เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามามีผลต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ค่อนข้างมาก ไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหน เราก็มักจะเห็นสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยปัญญาประดิษฐ์เต็มไปหมด หากคุณไม่เชื่อ ในขณะที่คุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่ คอมพิวเตอร์และมือถือของคุณก็กำลังเก็บภาพและข้อมูลการใช้งานอินเทอร์เน็ตเพื่อทำอัลกอริทึมอยู่เช่นกัน

จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้เทคโนโลยีดังกล่าวเริ่มขยายตัวออกมาจากห้องทดลองหรือโรงงานและเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น ดังนั้น คงจะดีไม่น้อยถ้าหากเราได้รู้ว่าในปัจจุบันเทคโนโลยี AI ถูกพัฒนาและสร้างสรรค์กลายเป็นอะไรไปแล้วบ้าง

1. AUXUMAN ปัญญาประดิษฐ์ที่แต่งดนตรีได้ด้วยตัวเอง

ที่มาของโปรเจ็กต์การสร้างนักดนตรีปัญญาประดิษฐ์นี้ เกิดจากบริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์ Auxuman ที่จะพัฒนา YONA ปัญญาประดิษฐ์ในเกมออนไลน์ที่เกิดข้อผิดพลาด ทำให้มันไม่รับคำสั่งจากมนุษย์และลงมือสร้างสรรค์บทเพลงขึ้นเองในเกม ทำให้บริษัทดึงข้อมูลของ YONA มาสร้าง AI ขึ้นอีก 4 ตัวนั่นคือ MONY, GEMINI, HEXE และ ZOYA กลายเป็นวง AUXUMAN

โดยกลุ่มศิลปินดังกล่าวถูกพัฒนาโดยบริษัท Auxuman เริ่มจากการป้อนข้อมูล เรียนรู้ภาษา บทกวี รูปฟอร์มศิลปะต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต รวมถึงดนตรี ต่อมาทางบริษัทช่วยพัฒนาระบบเปล่งเสียงของเธอจนสามารถร้องเพลงได้

ในปัจจุบันกลุ่มวงดนตรีปัญญาประดิษฐ์ดังกล่าวได้ออกอัลบั้มแล้วชื่อ Auxuman Vol​.​1 มีทั้งหมด 10 เพลง มีดนตรีที่หากเราฟังด้วยหูของมนุษย์ก็จะบอกว่านี่คือดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ แต่ทาง Auxuman กลับเขียนอธิบายเอาไว้ว่านี้คือเพลงโซลของเหล่า AI ที่ไม่มีมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างสิ้นเชิงต่างหาก

2. Shelley ปัญญาประดิษฐ์ที่เขียนเรื่องผีให้คนอ่าน

– ในเทศกาลฮาโลวีนปี 2017 นักวิทยาศาสตร์จาก MIT Media Lab เปิดตัวปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถแต่งเรื่องราวสยองขวัญได้ในชื่อ Shelley โดย AI ตัวนี้จะเขียนเรื่องราวสยองขวัญแปลกประหลาดมากมายผ่านบัญชีทวิตเตอร์ที่ใช้ชื่อว่า@shelley_ai

– Shelly ซึ่งตั้งขึ้นตามชื่อของ Mary Wollstonecraft Shelly ผู้แต่งวรรณกรรมคลาสสิกเรื่อง แฟรงเกนสไตน์ โดยมีแนวคิดในการวิเคราะห์จากความหวาดกลัวของมนุษย์ที่มีต่อความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ในโลกอนาคต ที่นับวันยิ่งพัฒนามากขึ้น และจะเป็นอย่างไรหากสามารถพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ ที่กระตุกความกลัวของมนุษย์ได้จริงๆ

– นักวิจัยได้ป้อนข้อมูลจากดาต้าเบสโครงข่ายปราสาทเทียม (Artificial Neural Network) ของ Shelly ด้วยเรื่องสยองกว่า 140,000 เรื่องจากฟอรัม nosleep ในเว็บบอร์ด reddit ที่ผู้คนต่างเข้ามาบอกเล่าและแต่งเรื่องเขย่าขวัญสั่นประสาทของตัวเอง Shelly สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเรื่องหลอนๆ ที่ได้รับความนิยมสูงนั้นมีองค์ประกอบใดบ้างหรือคล้ายคลึงในความน่ากลัวอย่างไร และจากฐานข้อมูลนี้ก็สามารถแต่งเรื่องชวนขนหัวลุกของตัวเองได้

– Shelley จะสร้างสรรค์เรื่องราวสยองขวัญผ่านการโพสต์ที่ไม่ซ้ำกันทุกๆ หนึ่งชั่วโมงและจะติดแฮชแท็กว่า #yourturn เพื่อเชิญชวนให้เราทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์เรื่องราว ทุกครั้งที่เราโพสต์ข้อความต่อจากมันและเมื่อมีการตอบโต้กันมากขึ้นเท่าไหร่ Shelley ก็จะมีประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์มากขึ้นเท่านั้น ในการทำงานของ Shelly จำเป็นต้องใช้ระบบอัลกอริทึม Online Machine Learning ที่ซับซ้อนเพื่อช่วยเรื่องการตอบสนองเชิงโต้ตอบ และยังใช้โครงข่ายประสาทเทียมแบบย้อนกลับ (RNN) หลายชั้นมาเป็นข้อมูลในการประมวลผลด้วย

3. Euphonia หุ่นยนต์ช่วยเหลือผู้พิการ

– การสื่อสารระหว่างคนปกติกับคนพิการในปัจจุบันยังมีปัญหาอยู่มาก จึงเป็นที่มาให้ Google คิดริเริ่มเทคโนโลยีด้านเสียงให้ผู้มีความบกพร่องดังกล่าวสามารถเข้าถึงในการสื่อสารกับผู้คนได้ โปรเจ็กต์นี้มีชื่อว่า Project Euphonia กับนักวิจัยจากหลายแขนง และยังจับมือกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรอย่าง ALS Therapy Development Institute (ALS TDI) และ ALS Residence Initiative (ALSRI) เพื่อนำข้อมูลเสียงของผู้ป่วยมาศึกษารูปแบบการพูด คำ และประโยคต่างๆ เพื่อช่วยแปลงเสียงเป็นประโยคคำพูดที่พวกเขาต้องการจะสื่อสารได้อย่างแม่นยำ

– จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของ Euphonia คือการเก็บข้อมูลเสียงจากผู้มีความบกพร่องด้านการพูด เพื่อช่วยแก้ปัญหา AI ของ Google Assistant ที่ถูกสร้างมาเพื่อโต้ตอบกับเสียงส่วนใหญ่จึงอาจใช้งานไม่ได้กับเสียงส่วนน้อยอย่างผู้มีปัญหาด้านการออกเสียง ทาง Google จึงแก้ปัญหานี้โดยการขอให้คนทั่วโลกส่งตัวอย่างเสียงของตนมา เมื่อเก็บข้อมูลเหล่านี้มาได้ก็จะนำไปพัฒนาอัลกอริทึมและอัพเดต Google Assistant ถ้าคุณอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งไฟล์เสียงสามารถกรอกแบบฟอร์มได้ที่ http://bit.ly/2QJI2UD

4. AlphaGo Zero ปัญญาประดิษฐ์ผู้พิชิตการแข่งขันโกะทั้งมนุษย์และ AI ด้วยกัน

– หลังจากที่อัลฟาโกะ (AlphaGo) ปัญญาประดิษฐ์ของบริษัท DeepMind ภายใต้การบริหารของ Google เคยสร้างความฮือฮามาแล้ว ด้วยการคว่ำผู้เล่นโกะบนโลกออนไลน์รวดเดียว 60 ราย และยังกำราบเซียนโกะระดับโลกอย่างเค่อเจี๋ย จากจีน และอีเชดอล จากเกาหลีใต้ไปอย่างราบคาบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ดี อัลฟาโกะในช่วงเวลาดังกล่าวยังต้องอาศัยการป้อนข้อมูลและชุดคำสั่งจากทีมผู้พัฒนาอยู่

– ล่าสุดบริษัท DeepMind ได้เปิดเผยข้อมูลว่า อัลฟาโกะเวอร์ชันใหม่ที่ตั้งชื่อว่า อัลฟาโกะ ซีโร (AlphaGo Zero) จะไม่จำเป็นต้องพึ่งพามนุษย์ในการป้อนข้อมูลอีกต่อไป ซึ่งทำให้มันกลายเป็นนักเล่นโกะปัญญาประดิษฐ์ที่เก่งและฉลาดที่สุดไปโดยปริยาย

– เดิมทีอัลฟาโกะรุ่นแรกต้องใช้ระยะเวลาในการฝึกฝนเกมโกะของมนุษย์ที่มีความยากระดับมือสมัครเล่นและมืออาชีพมากกว่า 1,000 เกม จึงจะสามารถเรียนรู้ทริกและกลยุทธ์ในการเดินหมากบนกระดานรูปแบบต่างๆ ได้ แต่อัลฟาโกะ ซีโรไม่จำเป็นต้องมีใครมาคอยสอนหรือป้อนข้อมูลต่างๆ ให้ มันสามารถเรียนรู้ด้วยการฝึกกับตัวเองตั้งแต่วันแรก จนกระทั่งกลายเป็น AI เซียนโกะเบอร์หนึ่งของโลกในเวลาแค่เดือนกว่าๆ เท่านั้น!

– ในวันแรกสุดที่อัลฟาโกะ ซีโรถือกำเนิดขึ้นมา มันจะเล่นโกะไม่เป็นหรือไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับศาสตร์เกมกระดานหมากล้อมมาก่อน แต่มันก็เริ่มเรียนรู้ทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วผ่านการฝึกเล่นกับตัวเองและใช้ระบบการคำนวณและคาดเดาทิศทางการเคลื่อนที่ของผู้เล่นอีกฝ่าย เมื่อแต่ละเกมจบลง มันจะเรียนรู้ข้อบกพร่องรวมถึงจุดแข็งของตัวเองแล้วเก็บมาพัฒนาขีดความสามารถในการเดินหมากเกมถัดไป ทั้งยังไม่มีข้อจำกัดเรื่องข้อมูลความรู้ของมนุษย์มาเป็นอุปสรรคในการพัฒนาฝีมือด้วย

5. Pepper หุ่นยนต์ที่จะมาช่วยงานพวกเราในอนาคต

– หุ่นยนต์แบบ humanoid หรือหุ่นที่ถูกออกแบบมาให้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ โดยบริษัท Aldebaran และบริษัท Softbank Mobile ที่มีความสูง 74 นิ้ว มีความสามารถจำจดใบหน้าและวิเคราะห์อารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ โดยในปัจจุบันมีการนำหุ่นยนต์ Pepper 15,000 ตัว ไปใช้ในงานบริการ เช่น เช็กอินในโรงแรมและสนามบิน รวมถึงการชำระเงินในศูนย์การค้า

– ปกติหุ่นยนต์ถูกสร้างขึ้นมาให้มีหน้าที่เพียงอย่างเดียว (Functional) แต่สำหรับ Pepper เป็นหุ่นที่ถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีความสามารถหลากหลายหน้าที่ มันสามารถวิเคราะห์ ตีความ และรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ที่เป็นคู่สนทนา โดยรู้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์สนุกสนาน, เศร้า, โกรธ หรือตื่นเต้นดีใจ ทั้งยังวิเคราะห์น้ำเสียงของผู้พูด สีหน้า ยิ้ม หรือหน้าบึ้ง ท่าทางการแสดงออกได้ โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำไปประมวลผล ทำให้ Pepper สามารถเลือกวิธีตอบสนองกับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดีผ่านทางสีของดวงตา หน้าจอแท็บเล็ต และน้ำเสียง ให้เหมาะสมและเป็นธรรมชาติ โดยเป้าหมายสำคัญของ Pepper คือการสร้างความสุขให้กับคนรอบตัว สร้างชีวิตชีวาให้กับคนรอบข้าง และทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าหากัน

6. OpenAI ปัญญาประดิษฐ์ที่แข่งชนะเกม DOTA 2 มาแล้ว

– เกมแนว MOBA อย่าง DOTA 2 นั้นต้องใช้ทักษะของสมองในการคิดวิเคราะห์ วางแผน และแก้ไขสถานการณ์อย่างสูง นี่จึงเป็นสิ่งที่หุ่นยนต์ซึ่งรับแต่เพียงคำสั่งจากมนุษย์ไม่สามารถคิดวิเคราะห์ได้เอง ทำให้มันยากจะสามารถเอาชนะมนุษย์ได้

– แต่อีลอน มัสก์ ผู้บริหารบริษัท SpaceX กลับต้องการพิสูจน์ว่า AI นั้นมีประโยชน์มากกว่าโทษอย่างที่ใครหลายคนคิด และสิ่งนี้จะเป็นนวัตกรรมที่สำคัญของมนุษยชาติในอนาคต จึงสร้าง OpenAI ปัญญาประดิษฐ์ที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อเอาชนะเกม DOTA 2 โดยเฉพาะ โดยเขากล่าวว่าปัญญาประดิษฐ์นี้ถูกพัฒนาด้วยการใช้ CPU มากกว่า 100,000 ชิ้นในการคำนวณผล นอกจากนี้ AI ยังเรียนรู้ในทุกๆ เกมที่เล่น ซึ่งใช้วิธีการคำ นวณและการโคลนตัวเองขึ้นมาแข่งกัน โดยหากเทียบกับการฝึกซ้อมของมนุษย์แล้ว 1 วันของ AI จะเท่ากับมนุษย์ใช้เวลาถึง 180 ปี

– แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของ OpenAI ได้แสดงให้เห็นแล้วในงาน TI 7 ซึ่งมีการเปิดตัว OpenAI ที่ถูกโปรแกรมมาให้ฝึกฝนต่อสู้กับผู้เล่นโดยเฉพาะ ซึ่งในปีที่แล้วเป็นการต่อสู้กันระหว่าง AI และ โปรเพลเยอร์ในโหมด 1-1 Mid โดยใช้ฮีโร่ Shadow Fiend และความเทพของ OpenAI ก็สามารถเอาชนะมือโปรหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Dendi, Arteezy และ Sumail มีเพียงคนเดียวที่สามารถเอาชนะ AI ได้คือ Pajkatt เท่านั้น ส่วนในงาน TI8 มันก็มาในรูปแบบทีมและสามารถเอาชนะทีมโปรเพลเยอร์ฝั่งมนุษย์ได้ถึง 2 เกมติดต่อกัน กลายเป็นเรื่องน่าสนใจมากหากปัญญาประดิษฐ์ตัวนี้มีการพัฒนาต่อไปขึ้นเรื่อยๆ ในการแข่งขันระดับโลกคงจะได้เห็นการต่อสู้ระหว่างมวลมนุษยชาติและหุ่นยนต์อย่างแน่นอน

7. Edmond de Belamy ปัญญาประดิษฐ์ที่วาดภาพได้ด้วยตัวเอง

– บริษัทประมูลชื่อดังของโลกอย่าง Christie’s ได้เปิดประมูลภาพที่วาดโดยปัญญาประดิษฐ์เป็นครั้งแรก ภาพวาดดังกล่าวมีชื่อว่า Portrait of Edmond Belamy และเป็นผลงานของปัญญาประดิษฐ์นามว่า GAN ที่ถูกพัฒนาโดย Obvious Art Studio กลุ่มศิลปินและนักวิจัยจากฝรั่งเศส พวกเขาสร้าง Edmond de Belamy ขึ้นมาโดยใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เรียกว่า GAN (Generative Adversarial Network) ที่ศึกษาภาพวาดคนจากศตวรรษที่ 14-20 จำนวน 15,000 ภาพ จากนั้นก็จะประมวลผลและสร้างสรรค์ภาพวาดที่เหมือนมนุษย์วาดขึ้นมา

– เครื่อง GAN มีองค์ประกอบสองส่วนคือส่วนผู้สร้างสรรค์ (the creator) และส่วนนักวิจารณ์ (the discriminator) ส่วนแรกจะวาดภาพโดยประมวลผลจากฐานข้อมูลที่ได้ศึกษาไป และส่วนที่สองจะเปรียบเทียบหาความต่างของการวาดภาพระหว่างหุ่นยนต์และมนุษย์ เพื่อให้ AI เกิดการวาดเลียนแบบให้เหมือนมนุษย์มากขึ้น ภาพวาดโดยฝีมือของระบบปัญญาประดิษฐ์นี้ ถูกประมูลไปด้วยราคา 432,000 ดอลลาร์ฯ หรือราว 13.8 ล้านบาท

8. IntelligentX เบียร์ที่หมักโดย​เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์

– หลังจากมีเทคโนโลยีที่ช่วยเหลือและเสริมสร้างชีวิตมนุษย์มากเพียงพอแล้ว หากมีเทคโนโลยีอะไรที่ช่วยผ่อนคลายด้วยความคิดสร้างสรรค์ระหว่างมันกับเราบ้างก็คงจะดี

– บริษัท IntelligentX และบริษัท Intelligent Layer ที่เชี่ยวชาญในเรื่อง Machine Learning จึงร่วมกันสร้างเบียร์ที่ผลิตโดย AI ออกมาทั้งหมด 4 ชนิดคือ Golden, Amber, Pale และ Black ซึ่งเบียร์เหล่านี้ได้รับข้อมูลส่วนผสมและฟีดแบ็กจากลูกค้าผ่านทางระบบ AI ที่ซ่อนอยู่ใน Facebook Messenger Bot ทำให้ทุกครั้งที่มีการปรุงเบียร์ขึ้นใหม่ สูตรของเบียร์ IntelligentX จะถูกพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

– ปัจจุบันเบียร์ทั้ง 4 ชนิดของ IntelligentX ผ่านการปรับปรุงมาแล้วถึง 11 ครั้ง โดยอาศัยข้อมูลที่เก็บมาจากลูกค้าตลอดระยะเวลา 12 เดือน ซึ่งทางผู้สร้างหวังว่า AI จะมาช่วยให้พวกเขาชนะเอาการแข่งขันทำเบียร์ใหญ่ๆ ได้ในอนาคต

9. Tengai หุ่นยนต์ HR ตัวแรกของโลก

– อาชีพผู้สัมภาษณ์งานหรือ Human Resource (HR) เป็นอาชีพที่ต้องใช้ทักษะในการวิเคราะห์มนุษย์ทั้งสีหน้าท่าทาง สำเนียงและน้ำเสียงการพูดเพื่อพิจารณาว่าผู้สมัครงานเหมาะกับตำแหน่งที่เปิดรับหรือไม่

– ฟังดูเป็นงานที่ซับซ้อนและยุ่งยาก ไม่มีทางที่หุ่นยนต์จะสามารถทำได้แน่ แต่บริษัท Furhat Robotics ได้ร่วมมือกับ TNG บริษัทชื่อดังในการจัดหาทรัพยากรทางบุคคล เริ่มต้นพัฒนาหุ่นยนต์ตัวนี้ตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2018 พวกเขาตั้งชื่อให้กับมันว่า Tengai ซึ่งเป็นหุ่นยนต์ที่มีความสูง 41 เซนติเมตรและหนัก 3.5 กิโลกรัม

– Tengai เป็นหุ่นยนต์สัมภาษณ์งานตัวแรกของโลก ถูกสร้างมาเพื่อสัมภาษณ์ผู้มาสมัครงาน มันถูกโปรแกรมให้สัมภาษณ์อย่างเดียวไม่มีการพูดคุยเล่น เมื่อทำการสัมภาษณ์เสร็จมันจะส่งคำตอบของผู้ถูกสัมภาษณ์ให้กับนายจ้างที่เป็นมนุษย์ แต่ในอนาคตมันจะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองว่าใครจะได้ไปต่อ

– ข้อดีของหุ่นยนต์สัมภาษณ์งานคือไม่มีอคติและความลำเอียงที่ไม่เหมาะสม เพราะบริษัท TNG เคยสำรวจการเข้ารับงานทั่วประเทศ ทำให้ทราบว่าประมาณ 73% ของผู้สมัครงานเคยถูกปฏิเสธและสาเหตุที่พวกเขาถูกปฏิเสธนั้นมีทั้งเชื้อชาติ, วัย, เพศสภาพ, รสนิยมทางเพศ, รูปร่างหน้าตา, น้ำหนัก ไปจนถึงด้านสุขภาพและความพิการ เราจะเห็นได้ว่าเหตุผลเหล่านั้นมักมาจากอคติของผู้สัมภาษณ์แทบทั้งสิ้น